นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่า จากนโยบายของภาครัฐที่มีการสนับสนุนให้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งตอบโจทย์เรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะรถอีวีเป็นรถพลังงานสะอาดไม่สร้างมลพิษ ส่งผลให้กระแสการใช้รถอีวีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคธุรกิจขนส่ง-โลจิสติกส์ ที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความต้องการเปลี่ยนการใช้รถในการขนส่งสินค้าเป็นรถอีวีแทนการใช้รถน้ำมัน

ในอนาคตคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในภาคการขนส่งที่เปลี่ยนมาใช้รถอีวีเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว จากข้อมูลของลูกค้าที่นำรถหัวลากไฟฟ้า NEX ไปใช้ พบว่ายังช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงลงได้มากกว่าการใช้น้ำมันของเครื่องยนต์ดีเซลถึง 68% อีกทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 585 ตันต่อปี

ขณะเดียวกันยังได้รับข้อมูลว่า หน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่งมีแผนในการปรับเปลี่ยนการใช้รถอีวีแทนรถน้ำมัน เพื่อตอบสนองนโยบายและแผนในการขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และสนับสนุนให้ประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ตามเป้าหมาย ภายในปี ค.ศ. 2050 หรือปี พ.ศ. 2593 อาทิ รถบัสโดยสารรับ-ส่งพนักงาน รถตู้ เป็นต้น ซึ่งอาจจะเปลี่ยนใน 2 ลักษณะ คือการซื้อขาดและการเช่าเหมาแบบรายเดือน ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด โดยเฉพาะการร่วมมือกับพันธมิตรในการเปิดโชว์รูมจัดจำหน่ายและให้บริการบำรุงรักษาแบบครบวงจรจำนวน 15 แห่งทั่วประเทศภายในปี 66 มั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้รถอีวีได้อย่างแน่นอนคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ด้าน ผศ.ดร.มะโน ปราชญาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและบริการวิชาการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน วิทยาลัยโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (มร.สส.) กล่าวว่า จากข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์การใช้รถยนต์ในภาคธุรกิจขนส่งพบว่า เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นสาเหตุของการก่อมลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 ขณะนี้กลับมาวิกฤติหนักกว่าเดิม ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะบรรลุเป้าหมายการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Cabon Neutrality) ภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2065 แนวทางการจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย มองว่าแนวคิดกรีนโลจิสติกส์ถือเป็นทางเลือกสำคัญ เพราะเป็นกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคธุรกิจ ทั้งในแง่การลดต้นทุนการผลิต การสร้างมูลค่าเพิ่ม การประหยัดพลังงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน

ขณะนี้ภาคธุรกิจต่างๆ หันมาให้ความสำคัญเรื่องกรีนโลจิสติกส์มากขึ้น หลายบริษัทเริ่มตื่นตัวในการนำยานยนต์พลังงานไฟฟ้ามาใช้ ทั้งรถบรรทุกไฟฟ้า รถหัวลากไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า ซึ่งไม่ใช่แค่กิจกรรมที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร หรือ CSR เหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นการนำมาสู่แนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน การใช้รถอีวีเป็นผลดีต่อการดำเนินธุรกิจ เพราะจากจะช่วยลดต้นทุนแล้ว ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่รณรงค์ลดการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลง ดังนั้นการที่ผู้ประกอบการขนส่งเริ่มทยอยเปลี่ยนมาใช้รถอีวีถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเปลี่ยนแปลงวงการโลจิส ติกส์ของไทย ที่จะนำไปสู่เป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน

ผศ.ดร.มะโน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในการเปลี่ยนมาใช้รถอีวีนั้น ผู้ประกอบการรถขนส่งยังสามารถยื่นขอการรับรองภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ซึ่งคาร์บอนเครดิต ที่เกิดขึ้นจากโครงการ T-VER สามารถถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ (Internationally Transferred Mitigation Outcomes: ITMOs) และนำไปซื้อขายในตลาดคาร์บอนต่อไปได้ ซึ่งตลาดคาร์บอนถูกกำหนดไว้ในร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปี 58-93

ปัจจุบันมีโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีการขายคาร์บอนเครดิตในตลาดคาร์บอนเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณ 57 อยู่ในรูปแบบตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) ภายใต้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) โดยที่สถิติการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในช่วงปี 62-65 ราคาเฉลี่ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดในปี 66 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 77 บาทต่อตัน ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการขนส่งที่ปรับเปลี่ยนรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาเป็นรถอีวี จะหันมาจัดทำคาร์บอนเครดิต เพื่อสร้างรายได้ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนต่อไป

By admin